เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ส.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรามาวัด เรามาหาบุญกุศลนะ บุญคืออะไร ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องบุญ เราหาบุญกันไม่เจอหรอก เวลาเราขุ่นข้องหมองใจ อัดอั้นตันใจ ความอัดอั้นตันใจ ความกดดันหัวใจ นั้นล่ะคือบาปอกุศล แล้วเราก็จะหาบุญกัน หาบุญกันด้วยอะไร หาบุญกันด้วยวัตถุไง ใครมีข้าวของเงินทองสิ่งนั้นมาก คนนั้นจะเป็นบุญ แล้วมันเป็นจริงไหมล่ะ

ถ้าใจเราเป็นบุญ สิ่งนั้นถึงจะเป็นนะ ถ้าคนที่ใจเป็นบุญเห็นไหม สิ่งที่เป็นประโยชน์ เรามาแสวงหากัน เรามาทำบุญกุศล เราเสียสละ ...โลกเขาว่าเสียสละทำไม ยิ่งออกมานี้ มาเสียสละ ของที่หลุดออกจากมือไปมันได้อะไรมา มันเปิดกว้างนะ หัวใจมันหมักหมม

การเสียสละเหมือนกัน ความตระหนี่ถี่เหนียวนี้ มันเรื่องของการเปิดให้อากาศมันถ่ายเท ถ้าเปิดให้อากาศมันถ่ายเทนะ บุญเกิดจากที่นี่ ถ้าบุญเกิดจากที่นี้ บุญเกิดจากหัวใจของเรา มันพอใจนะ คนถ้าดูดดื่ม ซึ้งใจนะ ทำบุญแล้วจะมีความสุขมาก

เด็กๆ มันมาวัด มันมีบุญของมัน มันได้วิ่งเล่นของมัน มันสนุกครึกครื้นก็เป็นบุญของมันนะ มันอยู่บ้านมันโดนบังคับ พอไปวัดมันได้วิ่งตามสบายของมัน นั้นก็เป็นบุญของมันเห็นไหม ถ้าบุญของเด็ก บุญของผู้ใหญ่ ใครจะจับสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ได้

แล้วถ้าเราต้องการสิ่งที่เหนือกว่านั้นล่ะ ถ้าเวลาเราชราภาพขึ้นมาเห็นไหม ไม้ใกล้ฝั่ง.. เวลาไม้ใกล้ฝั่ง เวลาจะเดินทาง มันจะมีอะไรติดตัวเราไป บุญกุศลนี่นะ มันเป็นอามิส เปรียบเหมือนเครื่องยนต์ รถยนต์ไง เราเติมน้ำมันมา น้ำมันหมดมันก็จบนะ น้ำมันมีมันก็ไปได้ ก็เติมปั๊มมันไปเรื่อยๆ

นี้ก็เหมือนกัน เราเสียสละของเราไปเรื่อยๆ ให้จิตใจมันชุ่มชื่นอยู่เรื่อยๆ เตรียมเสบียงกังออกไปเรื่อยๆ สิ่งนี้มันเป็นอามิส คำว่าอามิสมันเป็นวัตถุเห็นไหม มันเป็นสิ่งที่สัมผัสได้ มีเหตุมีปัจจัยใช่ไหม แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่เป็นความจริง หัวใจ ! เราถึงมาประพฤติปฏิบัติกันไง

ศาสนาสอนที่นั้นนะ เราก็บอกว่า ธรรมะเป็นธรรมชาติ สรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ทุกคนเป็นธรรมชาติ การเกิดและการตายเป็นธรรมชาติ สิ่งที่เป็นธรรมชาติ สิ่งที่เป็นสัจจะมันเป็นสัจธรรม มันเกิดดับ ถ้ามันเกิดดับ เราเข้าไปศึกษากัน โดยความเห็นของเราเห็นไหม

ธรรมะเป็นธรรมชาติ ! ธรรมะเป็นธรรมชาติ !

ธรรมะเป็นธรรมชาติมันก็ไม่มีอะไรพิสดารเลย มันก็เป็นฤดูกาล มันก็หมุนเวียนไป ธรรมชาติมันก็หมุนเวียนไป ชีวิตเราก็หมุนเวียนไป มันเหนืออะไร ธรรมเหนือโลกมันเหนืออย่างไร ธรรมชาติคือความเปลี่ยนแปลงของโลกไง

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งกว่านั้น ! มันเข้าไปวิเคราะห์วิจัยในสัจธรรมความจริงอันนั้น แล้วมันวางธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริง ใจมันหลุดพ้นออกไปจากธรรมชาติ มันไม่หมุนเวียนกลับมาอีกแล้ว ! การหมุนเวียนกลับมา การเกิด การตาย เป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ สุขทุกข์ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่งนะ

ดูสิ เราอยู่ในศีลในธรรม เราทำอะไรไม่ผิดศีลธรรม มันผิดไหม.. ไม่ผิดหรอก !ไม่ผิดใช่ไหม เพราะมันเป็นคุณงามความดีด้วย คุณงามความดีก็สะสมมาเป็นบุญ เป็นบุญมันก็เวียนตายเวียนเกิด ไปเกิดในสิ่งที่ดี เป็นเทวดา อินทร์ พรหม แล้วมันจบไหม ก็น้ำมันเต็มถังไง มันวิ่งไปเดี๋ยวมันก็ยุบ แล้วมันวิ่งไปเดี๋ยวมันก็หมด

นี่ก็เหมือนกัน วัฏฏะวน ! มันวนไปอย่างนั้น แล้วมันเป็นธรรมะได้อย่างไร

ธรรมะเป็นธรรมชาติ ! ธรรมะเป็นธรรมชาติ ! มันเป็นธรรมะได้อย่างไร แล้วธรรมะยังหมุนเวียนอยู่ มันยังเป็นอนิจจังอยู่

สิ่งใดเป็นอนิจจังสิ่งนั้นเป็นทุกข์.. สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา..

สิ่งใดเป็นอนัตตา อนัตตาใครควบคุมมันได้ อนัตตา.. ความแปรปรวนใครควบควบคุมมันได้ แล้วสิ่งนี้ ใจมันก็แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เห็นไหม เกิดดับ ! เกิดดับ ! ถ้าเราเข้าใจการเกิดดับแล้วก็จบ ! ก็มันยังเกิดยังดับ มีเหตุมีปัจจัยมันจะจบได้อย่างไร มันยังมีการเกิดและการตายอยู่

การเกิดและการดับ ! การเกิดคือการมี.. การดับคือการตาย.. การเกิดการตายมีอยู่ การเวียนตายการเวียนเกิดมีอยู่ สิ่งที่มีอยู่นี้เป็นธรรมแล้วหรือ ไปรู้สภาวะอย่างนั้นแล้วเป็นธรรมหรือ ไปรู้สภาวะเป็นธรรมแล้วช่วยอะไรตัวเองได้ เป็นธรรมแล้วมันขื่อคาคอไง เป็นธรรมแล้วก็ยอมจำนนกับมันไปไง

ถ้าเป็นสัจจะความจริงนะ.. เป็นสัจจะความจริง เราต้องตั้งหลักของเราเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มีหลักมีเกณฑ์ของเราก่อนถ้ามีหลักมีเกณฑ์ของเราก่อน ศีลนี้สำคัญมาก ศีลนี้เป็นจุดยืน ศีลนี้เป็นหลัก ถ้าเรามีศีลเป็นหลัก ศีลนี้เป็นธรรมวินัย มันเป็นสากล เห็นไหม

ดูสิ ดูพระเรานี้ เวลาเผยแผ่พระเถรวาทไปทั่วโลก เขาสวดบาลีเหมือนกันหมด มันจะต่างกันด้วยสำเนียงนิดหน่อย แต่ว่ามันเหมือนกันหมด เพราะเราเป็นเถรวาท เราถือมคธ เราถือธรรม ถือบาลี ถือธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก แล้วศีลธรรมก็มาจากนี้

ถ้าเราก็ถือธรรมอันนี้เป็นหลัก เราไปอยู่ที่ไหน เราก็ยึดหลักอันนี้ แล้วเราดูสิ่งแวดล้อม ดูการกระทำของสิ่งแวดล้อม เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นสภาวะแวดล้อม มันอาจจะคลาดเคลื่อนกันไป อาจจะไม่เหมือนกันได้

แต่ ! แต่สัจธรรมมันอันเดียวนะ ! นี่ทุกข์.. เหตุให้เกิดทุกข์.. ทุกข์ดับ.. วิธีการดับทุกข์

แล้วมันเกิดดับ ! เกิดดับ ! มันเอาวิธีการอะไรมาดับทุกข์

เกิดดับๆ ไฟฟ้าก็เกิดดับ ดูไฟถนนสิ ไม่ต้องไปเปิดมันด้วย เวลาแสงอาทิตย์มันหมดแล้วมันก็ติดเอง พอสว่างมันก็ดับเอง มันก็เกิดดับ แล้วแสงไฟฟ้าตามถนนหนทางมันเปิด มันปิดเองมันได้อะไร นี่ก็เหมือนกัน เราเข้าไปรู้ว่าเกิดดับ ! เกิดดับ ! มันเกิดมาจากไหน มันไม่มีเหตุปัจจัยใช่ไหม

ไม่มีตัณหาความทะยานอยาก มันต้องมีตัณหา ความตัณหาทะยานอยากเป็นสมุทัย พอสมุทัยมันอยู่ที่ไหน แล้วรื้อค้นอย่างไร ถ้าเรารื้อค้นขึ้นมา มันจะรื้อค้นเข้าไป มันถึงว่าการกระทำมันมีหยาบมีละเอียด สิ่งที่เราไปทำบุญกุศล มาวัดนะ ทุกคนมาวัด มาจำศีล โอ๊ย.. ดีแล้ว เก่งแล้ว โอย.. คนนี้เป็นคนดีมากเลย คนนี้อยู่วัดนะ คนนี้มีศีลมีธรรมนะ

มีศีลมีธรรมแล้วทุกข์ทำไม ! มีศีลมีธรรมทำไมไม่รื้อถอนออกมาให้ได้ หัวใจทำไมไม่ถอนมันออกมา ไอ้อุปาทานที่ฝังอยู่ในใจ ไอ้ลูกศรที่ปักอยู่คาใจ ทำไมไม่ถอนออกมา ถ้ามันถอนออกมา เอาอะไรไปถอนมัน ถ้าไปถอนขึ้นมา ถอนอันนั้น มันถึงจะดีจริง

ถ้ามันดีจริงขึ้นมาแล้วเห็นไหม นี่สัจธรรมเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เราก็ยืนอยู่กับธรรมชาติ

“โมฆราช ! เธอจงมองดูโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ”

กลับมาถอนไอ้ที่รู้ว่าว่าง เห็นไหม เกิดดับก็ว่าง รู้ว่าว่าง

“โมฆราช ! เธอจงมองดูโลกเป็นความว่าง” แล้วเป็นพระอรหันต์หรือยัง โมฆราชเป็นคนถามปัญหาเอง ถามพระพุทธเจ้าเลย “ข้าพเจ้านี้ว่างหมดเลย โลกนี้ว่างหมดเลย”

ถามพระพุทธเจ้าว่า “แล้วทำอย่างไรต่อไป” ... แล้วถามทำไม ก็มันไม่มีแล้ว มันว่างหมด แล้วว่างอย่างไร เห็นไหม เธอจงกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ กลับมาถอนตัวตนที่รู้ว่าว่าง รู้ว่าเกิด รู้ว่าดับ ใครมารู้เกิดรู้ดับ

รู้เกิดรู้ดับ ! ไฟฟ้ามันรู้เกิดรู้ดับไหม สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ มืด.. สว่าง มันรู้เกิดรู้ดับไหม แล้วทำไมเราทำหัวใจของเรา ทำสิ่งที่มันมีชีวิต ให้เป็นสิ่งสสารที่ไม่มีชีวิต ธาตุรู้สำคัญมากนะ สสารต่างๆ ที่มันเป็นแปรปรวนไม่มีชีวิต

แต่ธาตุรู้มันไม่เคยตาย ธาตุรู้นะ.. มันเป็นสสารอันหนึ่งเลย มันเป็นธาตุที่มีชีวิต ที่มันเป็นสันตติที่มันเกิดได้ ที่มันเก็บข้อมูลได้ ที่มันเวียนตายเวียนเกิดได้ พระโพธิ์สัตว์เกิดอย่างไร

พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ดูสิ ตั้งแต่เด็กจนแก่ มันสะสมประสบการณ์มาทั้งชีวิต แล้วเราตายไป มันจะตายสูญเปล่าหรือ มันก็เป็นการตัดแต่งพันธุกรรมของจิต จิตมันตัดแต่งสิ่งที่ดี มันเกิดขึ้นไปมันจะเกิดแต่สิ่งที่ดีๆ มันจะมีอำนาจวาสนาของมัน

เวลาตัดแต่งในสิ่งที่เลว เห็นไหม ทั้งเบียดเบียนเขา ทำลายเขา มันตัดแต่ง มันเพิ่มแต่สิ่งที่เป็นเชื้อไข ในสิ่งที่เลว พอไปเกิดอีกมันก็ไปเกิดแต่สิ่งที่เป็นเชื้อ เป็นพืชพันธุ์ที่เลวๆ พืชพันธุ์ที่เลวๆ เห็นไหม แล้วมาเกิดเป็นลูกเรา เป็นญาติเรา เป็นพี่น้องเรา

อภิชาตบุตร บุตรที่ดี.. หรือบุตรที่เกิดมาแล้วทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ..

มันมีเวรมีกรรม มันหมุนของมันไป นี่วัฏฏะ ! ทำบุญทำกุศลกัน เราถึงว่าทำบุญกุศลกันเพื่อสะสม เพื่อตัดแต่งพันธุกรรมให้จิตมันดี.. ดีก็เกิดดับไง ดีก็เป็นสัจธรรม แต่มันเป็นเปลือก เป็นแก่น เป็นกระพี้

ศาสนานี้มันลึกซึ้ง หยาบ ละเอียด เยอะแยะเลย แล้วเราเข้ามาศึกษา เวลาเราสวดมนต์เห็นไหม สิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ วันคืนล่วงไปๆ แล้วทำอะไรอยู่ ปฏิบัติแล้วนั่งสมาธิทั้งวันๆ อดอาหาร นั่งตลอดรุ่ง คิดว่าดีแล้วไง แต่สิ่งที่ดีกว่านี้ยังมีอีก ! จะทำขนาดไหน สิ่งที่ดีกว่ายังมีอีก ! ยังมีอีก ! ยังมีอีกไง

แต่เราทำดี.. ทำดีแล้วนะ โอ้โฮ ! ติดดียิ่งกว่าติดชั่ว

ติดชั่ว ! กูเป็นคนชั่ว กูทำอะไรกูต้องแอบทำนะ..

ติดดี ! กูดีนะ กูจะเหยียบหัวพวกมึง ! กูดีมาก.. กูดีมากเห็นไหม

ดีก็ติดไม่ได้ ! ข้ามพ้นดีและชั่ว ถ้าติดดีมันถือว่าตัวเองดีไง แต่ความดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก ดีอะไร ดีคือมันปล่อยวางหมดเลย นี่จิตที่เป็นอิสระ ไม่มีสิ่งใดในหัวใจเลย มันปล่อยวางหมดเลย สุดยอด !! ไอ้เราติดดีแล้วแบกมาไง โน้นก็ถูก นี่ก็ผิด มันแบกดีมาเห็นไหม

นี่จิตมันไม่อิสระ ! มันเอาขื่อคาคอมา คาหัวใจมาไง กูดี ! กูดี ! เอาขื่อเที่ยวฟาดหัวเขา หมุนไปทีก็เอาขื่อตีเขาไปทั่ว ก็กูดีไง เห็นไหม ติดดีกับติดชั่ว แต่คนเข้าใจว่าดีเป็นสิ่งที่เป็นคุณงามความดี แต่ในศาสนานะ ดีให้เป็นดีเรา ดีจากหัวใจ ดีจากภายใน เรื่องของสังคม

ดูสิ ดูเราเกิดมา สูงต่ำดำขาวเหมือนกันไหม.. มันเป็นไปไม่ได้ ! มีคนไปสร้างศาลา แล้วให้คนมาพักไง แล้วเป็นคนเรียบร้อย จัดให้หัวตรงกัน เท้าก็ไม่ตรง มันดึงให้เท้าตรงกัน หัวก็ไม่ตรงกัน จัดอยู่นั้นล่ะ จัดอยู่นั้นล่ะ อยากให้มันเรียบร้อย

นี่ก็เหมือนกัน เราอยากให้สังคมเป็นอย่างที่เราปรารถนา มันเป็นไปได้อย่างไร ไม่ได้หรอก มันเป็นที่ใจเรา ถ้าใจเราเข้าใจนะ ดูซิ มองดูเด็ก มันก็ไร้เดียงสา มันก็น่ารัก มองผู้ใหญ่อยู่ในกรอบ อยู่ในกติกา มันก็น่ารัก มองผู้ที่มีประสบการณ์ เขาเข้าใจหมดแล้ว เขานั่งเฉย.. เขานั่งเฉยๆ นะ คนก็คิดว่าไอ้คนนี้เป็นคนโง่ แต่ที่ไหนได้ เขาผ่านสังคมชีวิตมาจนจืดชืดหมดไง อะไรก็ไม่ตื่นเต้น นั่งมองเฉยๆ แต่รู้เท่าทันหมดนะ

นี่ไง ความดีของใจมันพัฒนาได้ เราต้องพัฒนาใจของเรา แล้วเราจะมาภาวนาของเรา ทำใจเราให้มั่นคง บุญกุศลมันเป็นอามิส จะบอกว่ามันเป็นวัตถุเห็นไหม เวลาพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ บอกพระอานนท์นะ

“อานนท์ ! บอกเขานะ พวกวรรณะกษัตริย์ พวกต่างๆ นี้ บอกให้เขาปฏิบัติบูชาเถิด อย่าเป็นอามิสบูชาเลย”

อามิสบูชาเห็นไหม ครูบาอาจารย์ตรงไหนที่มีชื่อเสียง เราก็ไปทุ่มใส่.. ทุ่มใส่ แล้วไอ้คนที่มันมาใหม่ก็ โอ้โฮ.. ทำไมพระขี้โลภ ไม่รู้จักพอ แบกหามจนเอามาไม่หวาดไม่ไหว

โธ่ ! มันเป็นภาระรับผิดชอบนะ มันเพียงแต่ค่าของน้ำใจเขา ค่าของน้ำใจมันมากกว่าค่าของวัตถุ น้ำใจของเขานะ เขาชื่นชม เขามีความอบอุ่นของเขา เขาหวังผลบุญกุศลของเขา แล้วเขาใส่บาตรมา ไอ้มันเป็นวัตถุ รับมามันเป็นภาระหมดเลย แต่ค่าน้ำใจของเขา เขาเสียสละ สิ่งที่เขาถือมา ใจของเขาเหนือกว่า เขาถึงทิ้งไปได้ !

ใส่บาตร คือเสียสละ.. คือทิ้งไป ไอ้เราหัวโล้นๆ ไปรับมานะ โอ้โฮ ! โอ้โฮ ! ใจนิดเดียว ใจอ่อนแอมาก ถ้าใจนะของเขาทิ้งแล้ว ! แล้วเราไปเก็บของที่ทิ้งแล้วมาบริหารจัดการ จัดการให้มันเป็นประโยชน์เห็นไหม ถ้าใจมันสูง ใจที่มันอิสระแล้วนี่ มันเป็นประโยชน์อย่างนี้

แต่ใจที่ไม่เป็นอิสระเห็นไหม มันไปติดหมด ของเขาทิ้งแล้ว.. ของเขาทิ้งแล้ว ! เขาเสียสละ เขาทิ้งจากมือมา ! แล้วมึงไปติดได้อย่างไร ! แต่ไอ้นั้นปฏิคาหกเห็นไหม เขาให้มาด้วยน้ำใจของเขา

ถ้าใจของคนมันสูงส่ง มันเห็นค่าของน้ำใจ ไอ้เรื่องวัตถุมันของเล็กน้อย ปัจจัยเครื่องอาศัย ของอาศัยเท่านั้นเห็นไหม แล้วเรามาวัด.. มาวัดใจเรา วัดตรงนี้ วัดดูว่า ไม่ต้อง โอ้โฮ ! กำลังคนไม่เหมือนกัน กำลังของคน คนที่กำลังเขาแข็งแรง เขาก็ทำได้มาก เรากำลังขนาดนี้ แต่น้ำใจเรามากกว่าก็ได้ น้ำใจของเราเห็นไหม

คนเราเกิดมา มันถึงจังหวะ ถึงโอกาสของคนลุ่มๆดอนๆ ชีวิตไม่ราบรื่นหรอก มันจะมีขึ้นๆ ต่ำๆ อย่างนี้ กัดฟันทนเอา ! ทนเอานะ ถึงพ้นวิกฤต มันต้องพ้น ดูสิ มืดแล้วมันยังสว่างเลย ทุกข์แล้วมันต้องหายทุกข์ แต่เวลาทุกข์แล้ว เราไม่รู้จักธรรมะไง ทุกข์แล้วเหยียบย่ำมัน ทำไมเราทุกข์.. ทำไมเราทุกข์ มันไม่ยอมปล่อย

ถ้ามันปล่อยมันก็หายใช่ไหม เพราะเราทุกข์ใช่ไหม เราทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะเรายึดใช่ไหม ทุกข์เพราะเราแบกรับใช่ไหม ถ้าสิ่งที่แบกรับเป็นภาระหน้าที่ใช่ไหม คนอื่นที่เขาทุกข์กว่าเราก็มี

โดยสังคมทั่วไปมันก็ทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่ทำไมหัวใจเขาปล่อยวางได้ การปล่อยวาง เห็นไหม ปล่อยวางนี้เป็นธรรมหรือยัง ปล่อยวางนี้เป็นการปล่อยวางความคิด แต่ตัวอัตตานุทิฏฐิเห็นไหม “โมฆราช ! เธอจงมองดูโลกเป็นความว่าง” เห็นไหม มันปล่อยทุกอย่างมันก็เป็นความว่าง แล้วมันถอนอัตตานุทิฏฐิตัวนี้ ถ้ามันถอนตัวนี้ได้นะ ใจอิสระ.. ใจอิสระ คือใจของเรานี้ แล้วจะดูว่ามันสุขขนาดไหน

ดูสิ เขาแบกหามกันมา ทรัพย์สินเงินทองเขาเยอะแยะเลย เราก็ว่าคนนี้มีศักยภาพ แต่ถ้าใจอิสระนะ กูไม่มีอะไรเลย กูสุขกว่ามึง กูไม่มีอะไรเลย ! มันมีอิสรภาพหมดเห็นไหม แล้วมันทำได้ไง ! มันทำได้นะ หัวใจนี้ทำได้ เราถึงบอกว่าเราจะพูดแบบนี้ว่า เพราะว่าคนเยอะ

คนที่ระดับของทานก็ให้ทำทาน คนที่ระดับของศีลก็รักษาใจมั่นคง คนที่มีหลักของการภาวนา เอาใจของเราให้พ้น อย่าไปติดกับเขา ของหยาบๆ อย่าไปแย่งเด็กมันทำ เด็กๆ เขาอยากทำก็ให้เด็กมันทำ เด็กมันอยากสนุกก็ให้เด็กสนุก ผู้ใหญ่เขามีประสบการณ์ของเขา เขาอยากทำก็เรื่องของเขา

เราเป็นผู้ใหญ่ใช่ไหม เราผ่านร้อนผ่านหนาวมามากใช่ไหม เราดูเขา ถ้ามันผิดพลาดที่ไหน เราก็ตักเตือนเขา ถ้ามันผิดพลาดตรงไหน เราก็บริหารจัดการไป เราจะไม่ไปแข่งกับเขา เราจะไม่ไปทำให้โลกมันวุ่นวายเกินไปนัก โลกมันวุ่นวายพอแรงแล้ว เราจะไม่วุ่นกับเขาเห็นไหม

จิตใจมันเป็นธรรม มันเป็นธรรมอย่างนี้ มันจะเป็นสุขกับเรา แล้วสังคมก็ราบรื่นไปหมดเลย ผู้ใหญ่อย่าไปขัดแย้งกับเด็ก เด็กมันไร้เดียงสา มันน่ารักของมัน มันศรัทธาใหม่ มันมีความพอใจของมัน เราโอ้โลมปฏิโลมไปกับมัน แล้วเราผ่านมาเป็นผู้ใหญ่ ผ่านมาเป็นผู้เฒ่าผู้แก่เห็นไหม เราจะต้องเอาหัวใจของเรานะ เราจะต้องทำงานสิ่งที่ละเอียดกว่านี้ เราต้องดูใจของเราตรงนี้ แล้วเราพัฒนาใจของเราตรงนี้ แล้วเราจะเป็นหัวใจที่อิสระ เอวัง